August 17, 2009
การสอนเรื่องความมีอยู่ของชาติหน้า โลกหน้า ตายแล้วเกิด ไม่ทำให้คนเพ้อฝันหรือ ?
อาจจะฝันแต่ไม่ใช่เพ้อฝัน กลับเป็นการใฝ่ฝันอย่างความใฝ่ฝันที่คนร้องเพลงกันว่า
“ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ” นั้นเอง ปัญหาเรื่องชาติหน้า โลกหน้า ตายแล้วเกิดนั้น ได้
กล่าวมาแล้วว่าเป็นเรื่องของผลที่เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย คนอาจจับเอาหลักเพียงพระ
พุทธภาษิตที่ว่า
อิธ นนทติ เปจจ นนทติ กตปุญโญ อุภยตถ นนทติ
ปุญญํ เม กตนติ นนทติ ภิยโย นททติ สุคติ คโต
ผู้มีบุญอันกระทำแล้ว ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสองคือบันเทิงอยู่ในโลกนี้ ละไปแล้วย่อมบันเทิง ย่อมบันเทิงด้วยความคิดว่าบุญอันเรากระทำไว้แล้ว
ไปสุคติแล้วจะบันเทิงยิ่งๆขึ้น
จะพบว่าพระพุทธภาษิตนี้แสดงเหตุแห่งความบันเทิงในโลกทั้งสองไว้ว่าได้แก่บุญผล
คือความบันเทิงจะเกิดขึ้นในโลกทั้งสองได้ ก็ต้องสร้างเหตุคือบุญไว้ ความสำนึกเช่นนี้จะ
เป็นแรงกระตุ้นให้คนผู้ปรารถนาผลดังกล่าว รีบเร่งกระทำเหตุที่ให้เกิดผลเป็นความ
บันเทิงในโลกทั้งสอง
ความสำเร็จในชีวิตคนจะต้องเริ่มมาจากความใฝ่ฝันเพื่อเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เสีย
ก่อนแล้วในที่สุดทำให้คนเหล่านั้นเพียรพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตนใฝ่ฝัน ความเพียรพยายามนั้นจะยุติลง เมื่อตนประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่เคยใฝ่ฝันไว้
การสอนการเชื่อในเรื่องชาติหน้า โลกหน้า ตายแล้วเกิด จึงเป็นพลังอันมหาศาลที่จะผลัก
ดันวิถีชีวิตของคนให้ก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งสุจริตทาง กาย วาจา ใจ ซึ่งอำนวยผลให้
คนเห็นได้ในปัจจุบัน เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและสังคมอันเป็นส่วนรวมสังคมจะมีสมาชิก
ที่ยึดมั่นในความถูกต้องตามธรรมมากขึ้น ความเห็นแก่ตัว พวกของตัว พ่อค้าหน้าโลหิต
จะน้อยลงได้มากทีเดียว เมื่อผลออกมาได้อย่างนี้ใครจะเรียกว่า เพ้อฝันหรือสร้างวิมาน
ในอากาศจะสำคัญอะไร ?
การสอนเรื่องนรกสวรรค์ตายแล้วไปเกิดอีกจะไม่ทำให้เห็น ว่าล้าสมัยหรือ ?
แล้วสอนเรื่องอะไรจึงจัดว่าทันสมัยละ ?
หรือจะให้สอนเรื่องข้าราชการบางคนคอรัปชั่น ปัญหายาเสพติดให้โทษ อากาศ
เป็นพิษ หรือว่าปัญหาอาชญากรรม งานเหล่านี้มีคนทำกันมากแล้ว ถ้าขืนสอนไป
จะหาว่าพระเล่นการเมือง พูดเรื่องชาวบ้าน จนถึงแย่งงานชาวบ้าน แต่เรื่องเหล่านี้
เมื่อขอบข่ายของธรรมะโยงไปถึง ผู้แสดงก็จะยกมาแสดงตามสมควรแก่เหตุอยู่เช่น
เดียวกัน
แนวโน้มในการอธิบายธรรมในปัจจุบัน ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าพระจะไม่ค่อยพูด
ถึงเรื่องนรกสวรรค์แบบที่เป็นภพชาติ โลกหน้ามากนัก แต่จะเน้นหนักไปในรูปของ
การประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดสวรรค์ภายในจิตใจ หลีกเลี่ยงนรกภายในใจ และเป็น
เทวดาเป็นพรหมด้วยการปฏิบัติธรรมกันมากกว่า เพราะแสดงอย่างไรผลก็จะออกมา
ในลักษณะเดียวกันดังกล่าวแล้วในข้อก่อน
ข้อที่กล่าวว่าพูดถึงเรื่องเหล่านี้จะไม่ทำให้ล้าสมัยหรือนั้น หาได้เป็นการล้าสมัย
แต่ประการใดไม่ หากความหมายของคำว่าทันสมัยหมายถึงทันกับเหตุการณ์สังคม
จริยธรรมของสังคม เราจะพบว่าการยอมรับนับถือเรื่องนรกสวรรค์ในแง่ใดก็ตาม
ย่อมเกี่ยวโยงเข้าหาความเชื่อกฎแห่งกรรม เพราะนรกสวรรค์เป็นผลของกรรมความเชื่อ
เรื่องนรกสวรรค์จึงย้อนกลับไปหาเหตุผลตามลำดับไปเป็นรูปของปฏิกิริยาลูกโซ่
ซึ่งจะช่วยให้ความเจริญในด้านวัตถุกับจิตใจมีความสัมพันธ์กันดังนี้
การยอมรับนับถือเรื่องนรกสวรรค์นำไปสู่การยอมรับนับถือกฎแห่งกรรม
ความเชื่อในกฎแห่งกรรมนำไปสู่การละความชั่วทำความดี
การละความชั่วทำความดีนำไปสู่การพัฒนาด้านจิตใจความประพฤติ
การพัฒนาจิตใจนำไปสู่ความสุขความสงบทางจิตใจ
ความสุขความสงบที่เกิดภายในจิตของคนในสังคมนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข
การอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขเป็นการสร้างสวรรค์เกิดขึ้นในโลกมนุษย์
ปัจจุบันวิชาการทางเทคโนโลยีได้ก้าวหน้าไปไกลมากแต่เนื่องจากความเจริญใน
ปัจจุบันมีลักษณะเป็นดาบสองคม เพราะวัตถุได้ก้าวล้ำหน้าพัฒนาการทางจิตไปมาก
ความเชื่อที่นำมาเรียงไว้ตอนหนึ่งนั้น เริ่มจากจุดใดก็ตามย่อมเป็นการพัฒนาจิตใจให้
สูงขึ้นสัมพันธ์กับความเจริญทางด้านวัตถุจนถึงจุดที่สามารถ
“ให้จิตใจที่ประกอบด้วยธรรม เหตุผล เป็นตัวนำวัตถุแทนที่จะให้วัตถุนำ
จิตใจอย่างที่เห็นกันบางแห่งในปัจจุบัน”
การสอนและยอมรับเรื่องนรกสวรรค์ในแง่ที่ถูกต้องจึงไม่เป็นการล้าสมัยแต่เป็นการ
เร่งรัดพัฒนาด้านจิตใจพฤติกรรมของมวลชนให้สามารถเป็นผู้กำหนดวัตถุและควบคุม
วัตถุได้ด้วยพื้นฐานแห่งจิตใจที่ประกอบด้วยธรรมดังกล่าว.
นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของนักเผย แผ่หรือ?
เรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องที่ท่านได้บรรลุญาณที่เรียกว่า จุตูปปาตญาณคือญาณที่ทำ
ให้ทราบการเกิดความแตกต่างของสัตว์ทั้งหลาย ว่ามีได้เพราะอะไร ท่านเห็นความมี
อยู่ของนรกสวรรค์ด้วย ทิพพจักขุ คือตาทิพย์ซึ่งความรู้เหล่านี้จะเกิดขึ้นก็ต้องได้อภิญญา
ซึ่งแปลว่าความรู้อันยิ่ง ไม่ใช่วิสัยของคนธรรมดาจะรู้ได้เหมือนกับการรับภาพในอากาศ
การฟังเสียงจากที่ไกลเป็นวิสัยของเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุตามลำดับปัจจุบันใครๆ
ไม่อาจปฎิเสธว่าในบรรยากาศมีเสียงกล่าวถึงเรื่องต่างๆจากภายในประเทศบ้าง ภายนอกประเทศบ้าง แต่ถ้าเขาไม่มีวิทยุเขาก็ไม่อาจจะทราบเสียงนั้นได้เมื่อต้องการ
จะทราบฉันใดเรื่องนรกสวรรค์ก็มีลักษณะฉันนั้น
การถกเถียงในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องของคนที่ถกเถียงรสว่าอร่อยไม่อร่อยด้วยหู
แทนที่จะพิสูจน์ด้วยลิ้น ซึ่งเถียงกันอย่างไรก็ได้แต่หาข้อยุติไม่ได้เรื่องนรกสวรรค์ก็เหมือน
กันการรู้ การเห็นนรกสวรรค์เป็นวิสัยของญาณและทิพย์จักษุ เมื่อไม่มีเครื่องมือ
สองประเภทนี้ ก็ต้องเถียงกันด้วยโวหารที่ไม่มีทางจบสิ้นเป็นการเสียเวลาโดยไม่เกิด
ประโยชน์อะไรเลย ที่สำคัญคือเรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องของผลแห่งกรรมอันถือว่าเป็น
อจินไตย คือไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิดเอาแต่จะทราบได้ด้วยการลงมือปฎิบัติเหมือน
การทราบชัดรสอาหารด้วยการบริโภคฉะนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้เราควรจับหลักอะไร ?
ก็ต้องอาศัยตถาคตโพธิสัทธาคือเชื่อพระปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพราะ
เรื่องนี้ พระองค์ทรงรู้ เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วหาได้รู้เมื่อยังครองเรือนอยู่ไม่ พระพุทธเจ้า
นั้นทรงมีหลักในการสอนธรรม ๓ ประการข้อที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ
“ทรงแสดงธรรมเพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในสิ่งที่เขาควรรู้ควรเห็น”
ในเรื่องที่ทรงแสดงนั้นมีเรื่องนรกสวรรค์อยู่ด้วย แสดงว่าเรื่องนี้ควรรู้ควรเห็น
เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้นั้นมีมากมายสุดจะนับจะประมาณได้ แต่ข้อที่นำมาสั่งสอน
นั้น อุปมาเหมือนใบไม้กำมือเดียวจากใบไม้ในป่าเท่านั้น และในใบไม้กำมือเดียวนั้นมี
เรื่องนรกสวรรค์รวมอยู่ด้วย เรื่องเหล่านี้ปรากฎในคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งชั้นบาลี
อรรถกถาและตำรารุ่นหลังเป็นอันมาก จนคนผู้ทราบประมาณแห่งความรู้ตนไม่อาจ
ปฎิเสธได้
“อาจจะมีปัญหาว่าการเชื่อถือในลักษณะนี้จะไม่เป็นการเชื่อเพราะอ้างตำราหรือ?
เพราะในกาลามสูตรห้ามมิให้เชื่อโดยอ้างตำรา มิใช่หรือ ?”
ปัญหาก็จะติดตามมาว่าก็กาลามสูตรเองเล่ามิใช่เป็นตำราด้วยหรือ เมื่อเป็นตำราแม้
กาลามสูตรเองต้องเชื่อไม่ได้ด้วยนะซิ ในที่สุดก็จะเกิดปัญหาวัวพันหลักขึ้นมา
ในชั้นนี้ขอให้ข้อสังเกตเพียงว่าแหล่งแห่งความเชื่อของคนเรานั้นอาจจำแนกได้ดังนี้
๑.ประจักษ์ประมาณคือ เชื่อเพราะได้เห็น ได้ยิน ได้สูดดม ได้ลิ้ม ได้จับต้อง ได้รู้ด้วยตนเอง แล้วจึงเกิดความเชื่อขึ้นมา
๒.อนุมานประมาณ รู้ด้วยการอนุมาน คือการคาดคะเนเอาว่าเมื่อเป็นอย่างนี้
ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เช่นเราเคยเห็นควันเกิดจากไฟ ต่อมาเห็นเฉพาะควันไม่เห็นไฟ
ก็อนุมานได้ว่าที่ตรงนั้นต้องมีไฟ เพราะที่ใดมีควันที่นั้นมีไฟ
๓.ศัพท์ประมาณคือ การศึกษาจากหลักฐานต่างๆ เช่น ตำรา โบราณคดี เป็นต้น
ให้สังเกตว่าแหล่งแห่งความเชื่อเหล่านี้ไม่ใช่ข้อยุติว่าจะต้องถูกต้องเสมอไปจำเป็นจะต้อง
ใช้ปัญญาเช้าพิจารณาเสียก่อนทั้งนั้น ตามที่ท่านแสดงว่าบุคคลไม่เชื่อด้วยเหตุผล ๑๐ ประการ ซึ่งมักจะแผยแพร่กันแบบไม่ตลอดสายอยู่เสมอนั้นพระพุทธเจ้าทรงมุ่งไปที่
ประเด็นว่า
“ไม่ควรเชื่อเพียงเพราะเป็นตำรา”
แต่โดยหลักปฎิบัติแล้วให้นำเอาแหล่งแห่งความรู้เหล่านั้นเองไปพินิจพิจารณาด้วย
เหตุผลสติปัญญาจึงจะเชื่อในเรื่องนั้นๆ
สำหรับบางคนที่อ้างว่าตนไม่รู้ไม่เห็นตนไม่เชื่อนั้น นอกจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว
ข้อที่ไม่ควรลืมว่าการที่บุคคลยอมรับว่าท่านผู้นั้นเป็นพ่อเป็นแม่ของตนเป็นต้นนั้นไม่ได้
เชื่อเพราะเห็นเป็นต้น แต่เชื่อเพราะท่านบอกและคนอื่นบอกว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้กับตนและตนอนุมานเอาจากพฤติกรรมที่ท่านแสดงวิญญาณของแม่
เท่านั้นเพราะอะไร ?
“เพราะว่าเราไม่ได้รู้เห็นตอนที่ท่านเกิดเรามาด้วยสายตาของเราเองจึงต้องเชื่อด้วย
วิธีที่สองและสาม”
เรื่องนรกสวรรค์จึงเป็นเหมือนคนที่เคยขึ้นไปยอดเขาหิมาลัยมาเล่าถึงความสวยงาม
ของภูเขาและทิวทัศน์ที่ตนได้เห็นมาบนภูเขาหิมาลัยผู้ฟังทำได้สองประการ คือ
เชื่อตามที่เขาบอกให้ทราบเพราะเขาไปรู้เห็นมาด้วยตนเอง
ขึ้นไปดูภูเขาในจุดที่เขาบอกว่าเขาเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้
“หากปฏิเสธไปเลยว่าเขาโกหกได้ไหม ?”
“ไม่ได้หรอก” ทำอย่างนี้ก็เสียเชิงวิทยาศาสตร์แย่นะซีเพราะนักวิทยาศาสตร์นั้นเขามี
หลักสำคัญอยู่ว่า “จะไม่ยืนยันหรือปฏิเสธอะไรในเรื่องที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทดสอบ”
แต่การพิสูจน์ทดสอบอะไรก็ตาม ต้องพิสูจน์ด้วยเครื่องมือและกรรมวิธีเฉพาะเรื่อง
นั้นๆไม่ใช่จะเอากล้องจุลทัศน์ดูไปเสียทุกเรื่อง
อย่างไรก็ตามเรื่องนรกสวรรค์นั้นเท่าที่พบมาทรงมีวิธีแสดงหลายวิธีคือ
๑.แสดงถึงภพหรือภูมิ ที่คนสัตว์จะต้องไปเกิดตามสมควรแก่กรรมของตน เรียกว่า ปรโลก คือโลกอื่น ตรงกันข้ามกับโลกนี้ที่เรียกว่า อิธโลก
๒.แสดงในรูปของกรรมที่บุคคลกระทำแล้วจะนำให้เขาอุบัติในคติภพนั้นๆเช่น ทรงแสดงอานิสงส์ คือผลอันเกิดขึ้นจากการกระทำความดีมีการให้ทาน รักษาศีล มีศรัทธา เมตตา เป็นต้นจะจบลงด้วยคำว่าตายแล้วไปบังเกิดในสุคติหรือทุคติ
หากกระทำตรงกันข้ามหรืออย่างที่รับสั่งปรารภ คน ๔ คนผู้มีการกระทำแตกต่างกัน
ได้ตายไปว่า
คพภเมเก อุปปชชนติ นิรยํ ปาปกมโน
สคคํ สุคติโน ยนติ ปรินิพพนติ อนาสวา
คนทั้งหลายบางพวกย่อมเกิดในครรภ์ ผู้มีบาปกรรมย่อมเข้าถึงนรก ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติย่อมไปสวรรค์ ท่านผู้ไม่มีอาสวะย่อมปริพพาน
๓. ทรงแสดงในรูปของธรรมอันเป็นเหตุให้คนไปบังเกิดในนรกและสวรรค์ เช่น
น หิ ธมโม อธมโม จ อุโภ สมวิปากิโน
อธมโม นิรยํ เนติ ธมโม ปาเปติ สุคตํ
ธรรมและอธรรมทั้งสอง หามีวิบากเสมอกันไม่ อธรรมนำไปสู่นรก
ธรรมยังบุคคลให้ถึงสุคติ
๔.ทรงแสดงในรูปของสรรค์ที่บุคคลจะประสบด้วยการกระทำของตนในปัจจุบัน
เช่นมีฐานะร่ำรวยอยู่เย็นเป็นสุขเป็นสวรรค์ ทำผิดติดคุกประสบความเดือดร้อนเป็นนรก
๕.แสดงในรูปของการเป็นเทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต ด้วยการการปฏิบัติ
ตามธรรมและอธรรม เช่นเป็นเทวดาเพราะมีหิริ โอตตัปปะ เป็นพรหมเพราะมีพรหม
วิหารเป็นต้น
๖.แสดงในรูปของความรู้สึกในด้านจิตใจโดยเฉพาะ เช่นสุขกายสบายใจเป็น
สวรรค์กลัดกลุ้มเดือดร้อนใจเป็นนรก
สำหรับคนที่ไม่สมัครใจที่จะเชื่อจะด้วยเหตุผลอย่างไรก็ตามให้ยึดหลักการทำ
ความดีเอาไว้ คือ
หากสวรรค์นรกไม่มีอยู่จริง ตนก็อยู่อย่างไม่มีเวรมีภัยในปัจจุบัน
หากสวรรค์นรกมีเมื่อตายไปก็จะได้บังเกิดในสวรรค์
หากกระทำความชั่วแล้วแม้ว่าจะไม่มีนรกสวรรค์ตนก็ได้รับความเดือดร้อนที่เห็น
ในปัจจุบันตายไปหากนรกสวรรค์มีก็ต้องตกนรก
การทำความดีในปัจจุบันอย่างน้อยที่สุดจะได้รับความสุขในโลกนี้ เมื่อมีนรกสวรรค์
ในโลกหน้าก็จะได้บังเกิดในสวรรค์อีกเป็นการได้ถึงสองชาติ แต่ผู้ทำความชั่วกลับตรงกัน
ข้ามคือต้องเดือดร้อนในโลกนี้เป็นอย่างน้อย หากนรกสวรรค์เกิดมีเข้าก็เดือดร้อน
ทั้งสองโลก
วิธีการแสดงเรื่องนรกสวรรค์ตามที่กล่าวมานี้จะพบว่าผลจะออกมาในลักษณะเดียว
กัน ใครจะเชื่อในระดับใดก็ตาม หากต้องการความสุขก็ต้องทำดีหนีความชั่ว ผลจะเกิด
ขึ้น ให้พิสูจน์ได้ทั้งในปัจจุบันและด้วยญาณของท่านผู้รู้
ให้สังเกตว่าการตกนรกหรือขึ้นสวรรค์นั้นเป็นการใช้คำว่า ตก และขึ้นแห่งระดับจิต
ของบุคคลคือยกจิตจากกระแสอธรรม และขึ้นสู่กระแสธรรมเมื่อจับจุดนี้ได้แล้ว
ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์หรือถกเถียงกันให้เสียเวลา เพราะถึงจุดหนึ่งแล้วตนจะรู้เองขอเพียง
ยึดมั่นในการยกระดับจิตของตนให้สูงไว้ก็พอแล้ว การจะทราบชัดในเรื่องนี้ได้จริงๆ
นั้นนอกจากทราบด้วย “ญาณ”ดังกล่าวแล้วอีกวิธีหนึ่งคือ
“จะทราบชัดด้วยตนเอง เมื่อตนตายไปแล้ว”
การรอคอยพิสูจน์วิธีนี้หากทำความดีไว้ก็ไม่เสียหายแต่ถ้าทำความชั่วมากๆก็ออกจะ
เสี่ยงเอาการทีเดียวทางที่ดีแล้วคือ
“เพียรพยายามสร้างความดีในปัจจุบันให้มากๆไว้เป็นการปลอดภัยที่สุด”
สำหรับประเด็นที่ว่า “ไม่ใช่เป็นเครื่องมือนักเผยแผ่หรือ” นั้น ออกจะเป็นการกล่าว
หาที่ไร้เหตุผลเอามากที่เดียว “ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนั้น?”
เพราะว่าเรื่องนรกสวรรค์นี้เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านรู้เห็นด้วย
ญาณและได้แสดงแก่ชนทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นเรื่องควรรู้ควรเห็นประการหนึ่ง พระ
พุทธเจ้านั้นทรงแสดงเรื่องนี้ด้วยพระมหากรุณาแก่สัตว์โลกพระทัยที่เต็มเปี่ยมด้วย
พระบริสุทธิคุณไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของพระองค์ แต่ทรงทำเพื่อประโยชน์
เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่สรรพสัตว์ พระอรหันต์ทั้งหลายก็มีนัยเดียวกัน
พระสงฆ์ที่ทำงานเผยแผ่นั้นท่านไม่มีความรู้อะไรเป็นส่วนตัวของท่าน แต่ท่านรู้เพราะ
การได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านทำงานไปตามหน้าที่ของ
ท่านที่กำหนดไว้ว่า
“พระสงฆ์คือหมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระ
พุทธเจ้าและสอนบุคคลอื่นให้ปฏิบัติตามด้วย”
หากจะถามว่าปฏิบัติตามซึ่งอะไร ?
คำตอบคือปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เวลาพระเทศน์ทุกครั้งจึงมีคำว่า “บัดนี้จะแสดงพระธรรมเทศนาพรรณนาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า”ก่อนทุกครั้ง เพื่อบอก
ให้ทราบว่าที่กล่าวต่อไปนี้ไม่ใช่คำสอนของท่านนะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
พระสงฆ์จึงทำหน้าที่เป็นเหมือนราชทูตอ่านพระสาส์น และในการสอนนี้เองมีหน้าที่ซึ่ง
กำหนดไว้ว่าเป็นหน้าที่ของพระ คือ “บอกทางสวรรค์ให้แก่ชาวบ้าน”
ที่ว่าเป็นเครื่องมือจึงไม่ทราบว่าเป็นเครื่องมือในทางแสวงหาผลประโยชน์จากอะไร
เพราะถ้าเรื่องนี้นักเผยแผ่สร้างขึ้นมาเอง
นักเผยแผ่ก็กล่าวมุสาอันเป็นเหตุอย่างหนึ่งให้ตนตกนรกนักเผยแผ่ไม่กลัวนรกหรือ ?
ที่ไม่ควรลืมคือเรื่องนรกสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่จะต้องรู้ได้ชัดด้วย จุตูปปาตญาณ หรือทิพยจักษุ
การอธิบายเรื่องนรกสวรรค์ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆ ใครจะเอาเรื่องอธิบายยากมาสอน
ให้ลำบากเล่า ในเมื่อเรื่องง่ายๆมีมากมายก่ายกองอธิบายเรื่องนั้นๆไม่ดีกว่าหรือ ?