August 17, 2009
.พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้ยึดถือสิ่งทั้งปวงถ้าเรานับถือ ศาสนาเช่นศาสนาพุทธอย่างนี้จะมิเป็นการขัดแย้งกับคำสอน ดังกล่าวหรือ?
ไม่เห็นขัดแย้งอะไรกันนี่อันที่จริงการนับถือพระพุทธศาสนาหรือศาสนาอะไรก็ตาม
เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของบุคคล เพราะคนเราไม่มีใครที่จะรู้อะไรไปทุกอย่าง
โดยไม่ต้องศึกษาเล่าเรียนได้ การนับถือพระพุทธศาสนาก็เพื่อศึกษาให้รู้และปฎิบัติ
ให้ถูกต้องตามเหตุผลที่ทางศาสนาได้จำแนกแสดงไว้
การยึดหลักของพระศาสนาจึงเป็นเหมือนนักเรียนผู้เริ่มฝึกเขียนหนังสือ อ่านหนังสือ จำเป็นต้องอาศัยไม้บรรทัดการสะกดอักษรกันไปตามหลักเกณฑ์ที่ท่านแสดงไว้แต่เมื่อ
เกิดความชำนิชำนาญดีแล้วความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นก็หมดไปคือ การเขียน การอ่าน การทำความเข้าใจก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ
การปฏิบัติธรรมอันเกิดขึ้นจากการศึกษาสดับฟังทางพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน
ในขั้นแรกจำเป็นจะต้องยึดหลักตามที่ท่านสอนไว้ เมื่อถึงจุดหนึ่งท่านจะถ่ายถอนความ
ยึดติดในรูปแบบต่างๆได้ จิตของท่านจะมีปฏิกิริยาต่ออารมณ์หรือสิ่งเร้าทั้งหลายเอง
โดยอัตโนมัติ
การสอนสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นเรื่องของสัจธรรมอันบุคคลจะเข้าถึง
ได้ไม่ง่ายนักเพราะคนจะมีความรู้สึกว่า
“นั้นเป็นของเราเช่นตัวเรา ญาติเรา น้องเรา ทรัพย์สมบัติของเรา เราเป็นนั่นเป็นนี่ เช่นเราเป็นนายทหาร เป็นข้าราชการเป็นต้น หรืออาจยึดถือว่านั่นเป็นตัวเป็นตน
จนเกิดการแบ่งแยก เป็นเราเป็นเขา เป็นพวกเป็นหมู่กัน”
เรื่องการยึดถือในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ถ่ายถอนได้ยากมาก เครื่องมือที่จะนำไปสู่การ
ถ่ายถอนความยึดถือในลักษณะที่หลงผิดดังกล่าวได้อย่างแท้จริง ก็ต้องอาศัยหลักศาสนา
ที่ตนได้ศึกษาและลงมือปฏิบัติตามเท่านั้น
ดังนั้นการนับถือพระพุทธศาสนาจึงเป็นเหตุให้คนเข้าถึงความจริงโดยการถ่ายถอน
อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง ความปล่อยวางจึงเป็นผลที่เกิดจากการ
ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ทั้งสองจึงเป็นเหตุเป็นผลกัน เป็นปัจจัยของกันและกัน
ซึ่งทุกคนจะต้องเข้าถึงให้ได้ทั้งสองระดับจึงจะได้ประโยชน์จากพระศาสนาอย่างแท้จริง
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่าธรรมที่ทรงแสดงนั้นเปรียบเหมือน แพ ทุ่น หรือยานพาหนะที่คนต้องอาศัยข้ามฟาก แน่นอนว่าตราบใดที่คนเหล่านั้นยังเดินทาง
จากฟากหนึ่งไปสู่ฟากหนึ่งนั้น เขาต้องมียานพาหนะสำหรับอาศัยและต้องยึดถือพาหนะ
เหล่านั้นเป็นที่พึ่งแต่เมื่อเขาถึงฝังแล้วเขาต้องละพาหนะเหล่านั้นเพื่อขึ้นฝั่งซึ่งเมื่อถึงช่วงนั้น
เขาจะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง คือจะขึ้นฝั่งหรือว่าจะอยู่ในพาหนะที่อาศัย
มาแต่จะขึ้นฝั่งพร้อมด้วยแบกเรือไปด้วยไม่ได้
เพราะเหตุนี้พระอริยบุคคลทั้งหลายท่านจึงมีศีลมีธรรม แต่ท่านไม่ยึดถือในสิ่งเหล่า
นั้นเช่นศีลของท่าน ก็ไม่ต้องระมัดระวังสำรวมระวังอะไรอย่างที่คนทั่วไปเขาทำกัน
เพราะศีลของท่านมีสมบูรณ์จนไม่ต้องสำรวมระวังอย่างคนที่ศีลยังไม่สมบูรณ์ต้องคอย
สำรวมระวังสมาทานแสดงอาบัติกันอยู่ ศีลของพระอริยบุคคลจึงมีลักษณะที่เป็นไปเอง
โดยอัตโนมัติ
อันที่จริงเรื่องการเข้าถึงความจริงสองระดับนี้ ระดับการปล่อยวางความยึดถือเป็น
ปหาตัพพธรรมคือธรรมที่ต้องละ แต่การนับถือพระพุทธศาสนาเป็นภาเวตัพพธรรมคือ
ธรรมที่ต้องสร้างให้มีให้เป็นขึ้นในชีวิตจิตใจของตน หากคนเข้าถึงธรรมสองฝ่ายนี้ตาม
สมควรแก่ธรรมแล้วย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริงปัญหาเรื่องยึดถืออะไรไม่ยึดถืออะไรก็จะหมดไป
การรู้ธรรมสองฝ่ายนี้จัดเป็นความรู้อริยสัจ ๔ อย่างไร?
การเห็นความทุกข์ความเดือดร้อนในระดับต่างๆอันเกิดชึ้นจากความยึดถือในสิ่ง
ทั้งหลายแล้วกำหนดรู้ไว้ว่า นี่ทุกข์ จัดเป็นทุกขสัจ
การกำหนดเห็นความเป็นโทษอันเกิดจากความยึดถือในขันธ์ ๕ ประการด้วยอำนาจตัณหาว่าของเรา ด้วยอำนาจมานะว่า เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว ละเสีย จัดเป็นทุกข์สมุทัยอริยสัจ
การกำหนดให้รู้จักว่าผลเกิดขึ้นจากการนับถือพระพุทธศาสนานั้นมีความสงบเย็น
เป็นความหมดไปสิ้นไปแห่งความยึดมั่นถือด้วยประการนั้นๆ จนถึงเป็นบรมสุข
ว่าเป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้งจัดเป็นทุกข์นิโรธอริยสัจ
การกำหนดรู้ว่าผลที่ตนจำนงหวังจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการปฏิบัติตามหลักของพระพุทธ
ศาสนาจัดเป็นทุกข์นิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วจะพบว่าท่านสอนให้ผู้นับถือพระพุทธศาสนา
เกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายด้วยปัญญา แทนที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายด้วย
โมหะความหลง เพราะชีวิตที่อยู่ด้วยปัญญาเป็นชีวิตที่ประเสริฐสุด
ด้วยเหตุนี้ข้อความในปัญหานี้จึงไม่มีลักษณะขัดแย้งกันตามที่ถามมา